เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน มีรายงานว่าประเทศไทยเสี่ยงจะเสียดินแดนทางทะเลหลังจากกัมพูชาสร้างเขื่อนกันคลื่นใกล้กับหลักเขตที่ 73 ที่ติดกับด่านคลองใหญ่ นายธีรชัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประธานกรรมการด้านวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ ได้แนะนำให้รัฐบาลไทยยื่นประท้วงต่อกัมพูชา เพื่อขอให้รื้อถอนเขื่อนที่สร้างยื่นลงไปในทะเล เนื่องจากเขื่อนนี้อาจมีผลกระทบต่อเส้นแบ่งเขตทางทะเลของทั้งสองประเทศตามกติกาของสหประชาชาติ.
นายธีรชัยได้โพสต์ข้อความใน Facebook เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา โดยเตือนว่าการสร้างเขื่อนแบบนี้อาจทำให้ไทยเสียดินแดนทางทะเล ประชาชนและสื่อมวลชนไทยกลับไม่ให้ความสนใจมากนัก ปกติแล้วเขื่อนกันคลื่นจะต้องวางขนานกับชายฝั่ง แต่เขื่อนที่กัมพูชาสร้างนั้นยื่นตั้งฉากออกไปยังทะเล ซึ่งอาจไม่มีประสิทธิผลในการป้องกันชายฝั่ง.
โฆษกกองทัพเรือได้เผยว่าการสร้างเขื่อนกันคลื่นของกัมพูชาเริ่มมาตั้งแต่ปี 2540-2541 โดยกองทัพเรือได้ตรวจพบและรายงานไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้ยื่นหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชาถึง 3 ครั้งตั้งแต่ปี 2541 แต่ทางกัมพูชาก็ยังคงหยุดการก่อสร้างโดยไม่มีการรื้อถอน
การกระทำของกัมพูชาอาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนทางทะเล หากกัมพูชาอ้างเขื่อนนี้ในการกำหนดเขตทางทะเลตามกติกาสหประชาชาติที่กำหนดในปี 1982 ว่าพื้นที่ที่มีสิ่งก่อสร้างถาวรจะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฝั่งทะเล.
การสร้างเขื่อนของกัมพูชานั้นทำให้หลายคนแสดงความกังวลว่าไทยอาจเสียดินแดนทางทะเลและทรัพยากรไปให้กับกัมพูชา ความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์มีทั้งที่ชมเชยและวิจารณ์ว่ารัฐบาลไทยควรมีการดำเนินการที่เข้มแข็งกว่านี้ในการปกป้องอธิปไตยและทรัพยากรของประเทศ.
ในที่สุด กองทัพเรือไทยยังคงดำเนินภารกิจในการรักษาสิทธิอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ โดยมีการจัดเรือและอากาศยานลาดตระเวนเฝ้าตรวจและแสดงกำลังในพื้นที่ทางทะเลอย่างชัดเจน
ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลไทยต้องให้ความสนใจอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องดินแดนและทรัพยากรทางทะเลของประเทศจากการกระทำที่อาจส่งผลกระทบในระยะยาว.