เมื่อไม่นานมานี้ มีไวรัลคลิปจากชาวกัมพูชาที่แสดงอาการตกใจหลังได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ในกรุงปารีสและพบว่า ป้ายที่โมเดลจำลองปราสาทบายนในเมืองเสียมเรียบระบุว่าปราสาทนี้อยู่ในสยามในปี 1899 เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความขัดแย้งในโซเชียลมีเดีย โดยมีผู้คนแสดงความคิดเห็นหลากหลายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความจริงของปราสาทบายน.
บางคนแสดงความคิดเห็นว่า คนกัมพูชาอาจไม่ทราบความจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เนื่องจากรัฐบาลกัมพูชาอาจปิดกั้นข้อมูลและเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดพลาด บางกลุ่มที่มีอินเทอร์เน็ตก็ยังไม่ยอมรับความจริง และมองว่าประเทศไทยสร้างเรื่องหลอกลวงขึ้นมา
มีคนแสดงความคิดเห็นว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีการเรียกร้องใดๆ จากกัมพูชาเกี่ยวกับปราสาทบายน แต่ในช่วงไม่กี่ปีหลังกลับมีความต้องการครอบครองสิ่งต่างๆ มากขึ้น และบางคนเห็นว่าไทยควรยืนหยัดในความจริง เพราะประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้อย่างชัดเจนแล้ว.
หนังสือ “นครวัดทัศนสยาม” ได้ระบุว่าก่อนที่ฝรั่งเศสจะค้นพบนครวัด ความรู้เกี่ยวกับนครวัดของคนท้องถิ่นกัมพูชาอยู่ในรูปแบบของตำนานและความทรงจำ ทั้งนี้ ชาวสยามก็มีความรู้และความทรงจำเกี่ยวกับนครวัดตั้งแต่ก่อนยุคสุโขทัยและกรุงรัตนโกสินทร์ โดยไม่เพียงแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่รู้จักนครวัด แต่ชาวบ้านและพระสงฆ์ก็รู้จักและเคยเดินทางไปเยือนนครวัดด้วยเช่นกัน.
ปราสาทบายนเป็นปราสาทหินที่ตั้งอยู่ในเมืองนครทม ถูกสร้างขึ้นในต้นศตวรรษที่ 13 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หลังจากที่พระองค์ทรงได้รับชัยชนะในการขับไล่กองทัพอาณาจักรจามปา ปัจจุบัน ปราสาทบายนถือเป็นศาสนสถานที่มีความซับซ้อนและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีหอที่มีรูปหน้ายิ้มหันสี่ทิศ ซึ่งเคยมีทั้งหมด 49 หอ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 37 หอ.
สถาปัตยกรรมของปราสาทบายนมีลักษณะเฉพาะ โดยมีระเบียงคดล้อมอยู่สองชั้น ชั้นนอกมีระเบียงที่มีเสาหินและรูปสลักนางอัปสร ส่วนชั้นในมีรูปสลักเกี่ยวกับชีวิตประจำวันและเรื่องราวทางศาสนา ปราสาทบายนยังมีรูปแกะสลักที่มีอายุหลายพันปีและเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ในสมัยนั้น
รอยยิ้มของรูปสลักที่ปราสาทบายนถูกเชื่อว่าเป็นการจำลองใบหน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และสื่อถึงสายตาของพระองค์ที่มองดูประชาราษฎร์ ปรางค์ 54 ยอดแทน 54 จังหวัดที่พระองค์เคยปกครอง นครทมจึงเป็นเมืองหลวงสุดท้ายของอาณาจักรขอมที่มีความเจริญรุ่งเรืองและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกัมพูชา.
นักท่องเที่ยวที่เคยไปเยือนปราสาทบายนเล่าว่า การแหงนหน้ามองปราสาทที่มีต้นไม้ปกคลุม ทำให้รู้สึกเหมือนกับคนแคระและหนาวเย็นเมื่อเห็นรอยยิ้มขนาดมหึมาที่มองลงมา.