เมื่อไม่นานมานี้ ชาวกัมพูชาได้อวดภาพการแปรอักษรที่สนามกีฬาโอลิมปิกเนชั่นแนลในปี 1966 พร้อมแคปชั่นว่า “ในปี 1966 ที่ยังไม่มีเทคโนโลยี LED แต่กัมพูชาก็สามารถทำได้ด้วยฝีมือคน” ซึ่งทำให้ชาวไทยและต่างชาติพากันเข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างคึกคัก.
หลายคนมองว่าการแปรอักษรเป็นสิ่งที่เด็กไทยทำมาก่อนแล้วเป็นเวลานาน ใน Wikipedia ก็มีข้อมูลยืนยันว่าโรงเรียนอัสสัมชัญของไทยเริ่มมีการแปรอักษรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2485 แล้ว การที่ชาวกัมพูชาเคลมว่าตนเองเป็นคนเริ่มทำให้ชาวไทยและชาวต่างชาติต้องเข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย.
ความคิดเห็นของชาวกัมพูชาบางส่วนแสดงความภูมิใจว่า กัมพูชาเจริญกว่าไทยในยุคนั้น และไทยยังไม่รู้จักการแปรอักษรเลย ขณะที่ชาวไทยตอบกลับว่าการแปรอักษรในไทยมีมาก่อนหน้านั้นแล้วและมีการทำกันมานานมาก.
ชาวต่างชาติบางคนได้อ้างอิงข้อมูลจาก Wikipedia ว่าการแปรอักษรในประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญตั้งแต่ปี 2485 ซึ่งถือว่าเป็นการแสดงศิลปะที่ละเอียดและเป็นเอกลักษณ์
หลายความคิดเห็นชี้ให้เห็นว่าชาวไทยเคยมีการแปรอักษรในงานกีฬามหาวิทยาลัย เช่น การแข่งขันฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ที่มีการแปรอักษรมานานเกือบ 100 ปีแล้ว
การแสดงการแปรอักษรในปี 1966 ที่พนมเปญนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกีฬาของประเทศเกิดใหม่ ซึ่งมี 17 ประเทศเข้าร่วมแข่งขันที่สนามกีฬาโอลิมปิกเนชั่นแนลที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวกัมพูชา.
ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า ความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศสามารถนำไปสู่การแสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ การศึกษาประวัติศาสตร์และการเปิดใจกว้างต่อความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้และพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอาเซียน.